1. เราอยู่ในโลกนี้เพื่อจุดประสงค์อะไร
เราอยู่ในโลกนี้เพื่อรู้จักและรักพระเจ้าเพื่อกระทำสิ่งที่ดีตามน้ำพระทัยของพระองค์ และเพื่อสักวันหนึ่งเราจะได้อยู่ในอาณาจักรสวรรค์
เราอยู่ในโลกนี้เพื่อรู้จักและรักพระเจ้าเพื่อกระทำสิ่งที่ดีตามน้ำพระทัยของพระองค์ และเพื่อสักวันหนึ่งเราจะได้อยู่ในอาณาจักรสวรรค์
พระเจ้าทรงจัดวางการแสวงหาและการพบพระองค์ไว้ในหัวใจของเรา นักบุญออกัสตินกล่าวว่า “พระองค์ทรงสร้างเรามาเพื่อพระองค์ และหัวใจของเราไม่อาจสงบลงได้ หากยังมิได้พักผ่อนในพระองค์” เราเรียกความปรารถนาพระเจ้าเช่นนี้ว่าศาสนา (27-30)
ได้ เหตุผลของมนุษย์สามารถทำให้เขารู้จักพระเจ้าได้อย่างแน่นอน (31-36, 44-47)
มนุษย์มีขอบเขตจำกัด ดังนั้นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าซึ่งไม่มีขอบเขตจำกัดจึงมิอาจเข้าไปอยู่ในความคิดของมนุษย์ได้ทั้งหมด แต่กระนั้นเราก็สามารถพูดถึงเรื่องของพระเจ้าได้อย่างถูกต้อง (39-43, 48)
มนุษย์สามารถรู้ได้ด้วยเหตุผลว่ามีพระเจ้า แต่ไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วพระเจ้าทรงเป็นอย่างไร พระเจ้าทรงปรารถนาอย่างยิ่งที่จะให้มนุษย์รู้จักพระองค์พระองค์ทรงเผยแสดงพระองค์เอง (50-53 , 68-69)
ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมพระเจ้าทรงแสดงพระองค์ ในฐานะพระผู้ทรงสร้างโลกด้วยความรัก และยังคงซื่อสัตย์ต่อมนุษย์ แม้เมื่อมนุษย์ตกอยู่ในบาปถอยห่างจากพระองค์ (54-64, 70-72)
พระเจ้าเสด็จมาสู่โลกในองค์พระเยซูคริสตเจ้า พระองค์คือพระวาจาสุดท้ายของพระเจ้า โดยการฟัง พระองค์ มนุษย์ทั้งมวลในทุกสมัยจึงรู้ว่าพระเจ้าคือใคร และสิ่งใดจำเป็นต่อความรอดพันของพวกเขา (66-67)
ในองค์พระเยซูคริสตเจ้า พระเจ้าทรงแสดงความรักเมตตาอย่างสุดซึ้งแก่เรา
เราส่งต่อความเชื่อ เพราะพระเยซูเจ้าตรัสสั่งเราไว้ “จงไปสั่งสอนนานาชาติให้มาเป็นศิษย์ของเรา (มธ 28:19)
เราพบความเชื่อแท้ได้ในพระคัมภีร์ และในธรรมประเพณีที่มีชีวิตชีวาของพระศาสนจักร (76, 80-82, 85-87, 97, 100)
ในเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อ พระศาสนจักร ในฐานะเป็นชุมชนของผู้ที่เชื่อ ย่อมไม่หลงผิด เพราะ พระเยซูเจ้าทรงสัญญากับบรรดาอัครสาวกร พระองค์จะทรงส่งพระจิตแห่งความจริงลงมา และ จะทรงรักษาเขาไว้ในความจริง (ยน 14:17 (80-82, 85-87, 92, 100)
หนังสือต่าง ๆ ในพระคัมภีร์สอนความจริง อย่างหนักแน่น ซื่อสัตย์ และถูกต้องไม่ผิดหลง...เพราะ เขียนขึ้นภายใต้การดลใจของพระจิตเจ้า และมีพระเจ้า ทรงเป็นผู้นิพนธ์ (การเผยความจริงของพระเจ้า ข้อ 11) (103-107)
→ พระคัมภีร์มิได้หมายถึงการถ่ายทอดข้อมูล ทางประวัติศาสตร์อย่างละเอียด หรือการค้นพบทาง วิทยาศาสตร์มาสู่เรา บรรดาผู้ประพันธ์ซึ่งมีชีวิตอยู่ใน ยุคสมัยของเขา ได้แบ่งปันความคิดทางวัฒนธรรม ของโลกรอบตัว และบ่อยครั้งพวกเขาก็กระทำผิดใน เรื่องเดิม ๆ อย่างไรก็ตาม ทุกสิ่งที่มนุษย์จะต้องรู้เกี่ยว กับพระเจ้า และหนทางแห่งการช่วยให้รอดพ้นนั้น
การอ่านพระคัมภีร์ที่ถูกต้อง คือการอ่านแบบสวดภาวนา ซึ่งก็คือ การอ่านด้วยความช่วยเหลือจาก พระจิตเจ้าผู้ทรงบันดาลให้พระคัมภีร์บังเกิดขึ้นพระคัมภีร์คือพระวาจาของพระเจ้า และบรรจุสิ่งสำคัญที่ พระเจ้าทรงต้องการสื่อสารถึงเรา (109-119, 137)
ใน→พระคัมภีร์พันธสัญญาเดิมพระเจ้าทรงเผย แสดงพระองค์ ในฐานะพระผู้สร้างผู้ปกปักรักษาโลกผู้นำ และผู้ฝึกสอนมนุษยชาติ หนังสือต่าง ๆ ในพันธสัญญาเดิมเป็นพระวาจาของพระเจ้าและเป็นพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิด้วยปราศจากพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิมเราไม่สามารถเข้าใจพระเยซูเจ้าได้ (12-123, 128-130, 140)
→การเผยแสดงของพระเจ้าสมบูรณ์ ใน พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ พระวรสารทั้งสี่ ตามคำเล่าของนักบุญมัทธิว มาระโก ลูกา และยอห์น เป็นส่วนสำคัญของพระคัมภีร์ และเป็นสมบัติอัน ล้ำค่าที่สุดของพระศาสนจักร ในพระวรสารทั้งสี่พระบุตรของพระเจ้าทรงแสดงพระองค์อย่างที่ ทรงเป็น และเสด็จมาพบกับเรา ในหนังสือกิจการ อัครสาวก เราเรียนรู้เรื่องการเริ่มต้นของ
พระศาสนจักรตักตวงชีวิตและพละกำลังจาก พระคัมภีร์ (103-104, 131-133, 141)
การตอบรับพระเจ้าคือการเชื่อพระองค์ (142-149)
ความเชื่อเป็นความรู้และความไว้วางใจ มีลักษณะเฉพาะ 7 ประการ คือ
ผู้มีความเชื่อแสวงหาความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระเจ้า และพร้อมที่จะเชื่อทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงแสดงพระองค์เอง (เปิดเผย) แก่เขา (150-152)
ไม่มีความขัดแย้งกันอย่างเด็ดขาดระหว่างความเชื่อและวิทยาศาสตร์ เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะมีความจริงสองชนิด (159)
ไม่มีใครมีความเชื่อได้โดยลำพังตนเองเหมือนที่ไม่มีใครมีชีวิตอยู่ได้เพียงลำพังคนเดียวเรารับความเชื่อมาจากพระศาสนจักร และดำเนินชีวิตความเชื่อในมิตรภาพกับผู้ที่เราแบ่งปันความเชื่อ ของเราแก่เขา (166-169, 181)